วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สังเคราะห์แสง#1

“You could be mad as a mad dog at the way things went .”
“You could sware,curse the fates.”
“But when it come to the end you have to let go….”

เป็นประโยคที่สะกิดหูอยู่หลายครั้งระหว่างที่กำลัง จดจ่อกับความเปลี่ยนแปลงของตัวละครเอกจากเรื่อง
The Curious Case of Benjamin Button หากแต่ประโยคนี้เท่านั้น การดำเนินชีวิตของตัวละครตลอดเรื่อง เป็นดั่งแรงบันดาลใจและคติสอนใจ ให้ไม่ต้องเสียไปเวลาครุ่นคิดให้มากนัก หยิบฉวยจุดไหนคว้ามาได้คว้ามาให้หมด เป็นที่สนุกเพลิดเพลินใจ ตัวเอกของเรื่อง เกิดมาเคราะห์ซ้ำกรรมซัด กำเนิดมาก็ต้องสูญเสียแม่ไป
แล้วยังถูกพ่อใจร้ายหวาดกลัวตนจนอุ้มไปทิ้งเพราะ ดันไปมีโรคร้ายติดตัวมาให้กลายเป็นคนชราตั้งแต่เด็ก
ตัวเหี่ยวย่นไขข้อเสื่อม แต่นั่นหาเป็นโชคร้ายไม่ กลับเป็นเส้นทางที่ทำให้ชีวิตของเจ้าหนูเบนจมินเดินทางไปในทางที่เหมาะที่ควรมาโดยตลอด ประเด็นหลักที่เราชื่นชอบในมุมมองของตัวละครตัวนี้นั้น คือการที่เขาคิดทางเดินของตัวเองขึ้นมา จากการมองเห็นและเข้าใจในชีวิต จากความไม่แน่นอนสู่ความแน่นอน ตลกดีที่
เบนจมินนั้นตอนเกิดมาหมอบอกว่าจะอยู่ได้ไม่นานนักแต่เขากลับอยู่ได้มาเรื่อยๆ แถมยังหนุ่มขึ้นอีก ไอ้ความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยนี้เกิดขึ้นมาเป็นความไม่แน่นอนชัดอยู่แล้ว แต่ไอ้ความแน่นอนที่เขาประสบณ์อยู่ตลอดเวลาก็คือ คนทุกคนได้ค่อยๆตายจากไป นั่นจึงอาจจะเป็นที่มาของความคิดของเบนจมิน ที่มักมองเห็นอะไรล่วงหน้าอยู่เสมอ ทั้งๆที่ตัวเองเคยมีชีวิตที่เค้าบอกแขวนอยู่บนเส้นด้าย เบนจมินวัยรุ่นที่อยู่ในร่างคนแก่หงำเหงือก จู่ๆก็โดดขึ้นเรือหาปลาออกทะเลไปซะงั้นทั้งที่ยังเดินไม่คล่อง หงึกหงัก ล้มไปหล่ะคงจะไม่ยืนอีกเลย นั่นแหล่ะคือความกล้าที่จะคิดที่เราชอบนัก ไม่ใช่ว่าบ้าดีเดือดอยากก็ไปโดยไม่ยั้งคิด แต่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องไหว และคงไหวขึ้นไปเรื่อยๆ มัวมาชักช้าๆรอหนุ่มก็คงสายไปแล้ว มีโอกาสก็รีบโดดใส่ ความกล้าที่จะคิดทำให้ไม่เสียเวลาที่มีค่าไปในชีวิต แต่คิดก็ต้องคิดให้ไว แล้วเลือกทางที่มั่นใจ มันง่าย กว่าต้องมานั่งเลือกเส้นทางชีวิต
เอ...จะเอาไงดีเรา ขึ้นรถหรือเดินไป กินข้าวหรือกินน้ำก่อน ฉี่หรือว่าถ่ายเลยดี ทุกอย่างมันล้วนมีผลกระทบ
และก็ยังเชื่อมไปสู่หลายเรื่อง เช่นดั่งประโยคข้างต้น บางที เราอาจจะคลั่งฉิบหายและกร่นแช่งแทบตายกับโชคชะตาที่มันเกิดขึ้น แต่พอมันมาถึง เราก็ต้องปล่อยมันไป ถูกต้อง เพราะมันคือโชคชะตานั้นไงเล่า
ยังอีกหนึ่งคราที่เบนจมินบ่นพร่ามเกี่ยวกับทฤษฎี ว่าด้วยเรื่อง “ถ้าหาก” ก่อนที่คนรักสาวจะถูกรถชน ถ้าหากไอ้นู่นเร็วหน่อย ถ้าหากไอ้นี้ไม่ทำนั่น คนรักคงจะไม่ถูกชน แต่แล้วก็สรุปเอาซะดื้อๆว่าตอนนี้เธอถูกชน ก็มันเป็นโชคชะตา ไอ้ “ถ้าหาก”มันไม่มีจริงหรอก ถ้าอยากจะใช้ชีวิตให้คุ้มหล่ะก็ มีแต่จงทำ และจงยอมรับกับสิ่งที่จะเกิด
จงเชื่อมั่นในตัวเองว่าคิดมาแล้ว คิดดีแล้ว ฝึกตัวเองให้คิดเข้าไว้ และตัดสินใจได้เด็ดขาด อย่าไปเอาคำของคนอื่นมาใส่ใจ “ทำไมหล่ะ?”ถ้ามันเป็นอย่างนี้หล่ะ?” คำเหล่านี้รับฟังได้แต่ก็อย่าเก็บไว้ อย่าเอาโชคชะตาที่คนอื่นมอบให้มากำหนดชีวิตของเรา จงสร้างชะตาของตัวเองขึ้นมาและน้อมรับ.... อ่านจบแล้วจงอย่าถามว่าเล่มต่อไปจะมีอะไร ตัดสินใจเอาเองว่าจะอ่านอีกดีมั้ยดีกว่า



เอามาจากคอลัมน์ที่เขียนลงไปในMagazine -1+1 ซึ่งอาจารย์ไม่ได้ใส่ใจกับมันด้วยซ้ำ คงจะดูแต่ดีไซน์สินะทำไมใช้หัวใจไม่ได้หรอ.... 5555+

ไม่มีความคิดเห็น: