วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Creative Figure's Works

นี่คือเหล่า เจ้าตัวงานฝีมือทั้งหลายที่กลั่นกรองออกมา
จากมันสมองของcreativeอย่างเรา 5555+
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า คณะเราก็ไม่ได้มีแต่งานเครียดๆเสมอไป
ต้องขอขอบพระคุณอาจารย์ป๊อปที่อดทนและใส่ใจพวกเราเป็นอย่างดี
ทั้งที่ ทั้งซน ทั้งไร้สาระ ไม่เหมือนผู้ใหญ่อย่างใครเค้า ขอบคุณครับบ

Final project

Photobucket

เหล่าโจรสลัดฟันขาว

ประกอบไปด้วย
Photobucket
กัปตันฟันหรอ

Photobucket
ต้นหนฟันสวย

Photobucket
ตรงกลางเป็นน้องนางฟันเหยิน กำลังดูแลโหย
ไอ้โหยเป็นคู่แฝดกับไอ้หา ที่อยู่ด้านหลัง

Photobucket
กำลังนั่งทำงานอย่างขะมักขะเม้น
ตอนแรกก็เสก็ตลงบนกระดาษก่อนจ้า
ให้เป็นแพทเทรินท์ขนาดที่เราต้องการ เหลือไว้ขอบๆซักนิดเผื่อเย็บ
แล้วใช้จักร์เย็บประกบซะ
ฟันก็ปั้นด้วยดินญี่ปุ่น (ซะหรู)

Teenages Mascot

เป็นตัวแทนวัยรุ่น ซึ่งออกมาในรูปแบบซอมบี้หัวทีวี
เพราะเดี๋ยวนี้วัยรุ่นต่างหลงไหลอะไรตามกระแสและตามๆกัน
คล้ายกับซอมบี้ จนดูน่าเกลียดน่าเบื่อซ้ำซาก
ใจจริงเราอยากสื่อมันออกมาให้น่าเบื่อซ้ำซากด้วยก็เลยใช้อารมณ์ตัวเองทำไปหน่อย
จนมันออกมาเป็นคาแรคเตอร์ที่ซ้ำซากจริงๆจนไม่น่าสนใจ
เพราะซอมบี้ที่ไหนก็เป็นแบบนี้ แต่ก็สมใจเราแล้วหล่ะ

อุปกรณ์คือ รวด ดินญี่ปุ่น แล้วก็โฟม ตกแต่งด้วยสีอคิริก และกาวยู้ฮูววว

Photobucket

Creative Recycle

เดี๋ยวเอามาEditนะครับ ยังหารูปไม่เจอ

Remake a Barbie Girl

อันนี้สนุกสะใจกันมาก เอามันส์ซะขนาด
โจทย์คือเอาตุ๊กตาบาร์บี้ มาทำใหม่ ให้ต่างจากเดิมให้สิ้นเชิง
คลำไปคลำมา ทำมันเป็นนกกระจอดเทศซะดีมั้ย
เพราะดันไปทำคอให้มันได้ เลยเอาซะเล้ยยยยย

Photobucket
ขั้นตอนแรก เปเปอร์มาเช่ ตุ๊กตาที่ดัดแขนดัดขาเสริมนุ่นนี่ให้มันซะ

Photobucket
ทำนู่นแก้นี่ จนถึงขั้นตอนเอาสีโป๊วพอกซะให้งามม

..................................................................................

ท้ายสุดก็ขัดให้เรียบซะ แล้วลงสีให้แม่นกกระจอกก้นงามนี่ซะ
Photobucket

แต๊นนนนนนนนนนนน 55555555+


อันสุดท้ายเป็นงานตอนคลาสแรก เดี๋ยวค่อยมาอัพเพิ่มจ้า

สังเคราะห์แสง#1

“You could be mad as a mad dog at the way things went .”
“You could sware,curse the fates.”
“But when it come to the end you have to let go….”

เป็นประโยคที่สะกิดหูอยู่หลายครั้งระหว่างที่กำลัง จดจ่อกับความเปลี่ยนแปลงของตัวละครเอกจากเรื่อง
The Curious Case of Benjamin Button หากแต่ประโยคนี้เท่านั้น การดำเนินชีวิตของตัวละครตลอดเรื่อง เป็นดั่งแรงบันดาลใจและคติสอนใจ ให้ไม่ต้องเสียไปเวลาครุ่นคิดให้มากนัก หยิบฉวยจุดไหนคว้ามาได้คว้ามาให้หมด เป็นที่สนุกเพลิดเพลินใจ ตัวเอกของเรื่อง เกิดมาเคราะห์ซ้ำกรรมซัด กำเนิดมาก็ต้องสูญเสียแม่ไป
แล้วยังถูกพ่อใจร้ายหวาดกลัวตนจนอุ้มไปทิ้งเพราะ ดันไปมีโรคร้ายติดตัวมาให้กลายเป็นคนชราตั้งแต่เด็ก
ตัวเหี่ยวย่นไขข้อเสื่อม แต่นั่นหาเป็นโชคร้ายไม่ กลับเป็นเส้นทางที่ทำให้ชีวิตของเจ้าหนูเบนจมินเดินทางไปในทางที่เหมาะที่ควรมาโดยตลอด ประเด็นหลักที่เราชื่นชอบในมุมมองของตัวละครตัวนี้นั้น คือการที่เขาคิดทางเดินของตัวเองขึ้นมา จากการมองเห็นและเข้าใจในชีวิต จากความไม่แน่นอนสู่ความแน่นอน ตลกดีที่
เบนจมินนั้นตอนเกิดมาหมอบอกว่าจะอยู่ได้ไม่นานนักแต่เขากลับอยู่ได้มาเรื่อยๆ แถมยังหนุ่มขึ้นอีก ไอ้ความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยนี้เกิดขึ้นมาเป็นความไม่แน่นอนชัดอยู่แล้ว แต่ไอ้ความแน่นอนที่เขาประสบณ์อยู่ตลอดเวลาก็คือ คนทุกคนได้ค่อยๆตายจากไป นั่นจึงอาจจะเป็นที่มาของความคิดของเบนจมิน ที่มักมองเห็นอะไรล่วงหน้าอยู่เสมอ ทั้งๆที่ตัวเองเคยมีชีวิตที่เค้าบอกแขวนอยู่บนเส้นด้าย เบนจมินวัยรุ่นที่อยู่ในร่างคนแก่หงำเหงือก จู่ๆก็โดดขึ้นเรือหาปลาออกทะเลไปซะงั้นทั้งที่ยังเดินไม่คล่อง หงึกหงัก ล้มไปหล่ะคงจะไม่ยืนอีกเลย นั่นแหล่ะคือความกล้าที่จะคิดที่เราชอบนัก ไม่ใช่ว่าบ้าดีเดือดอยากก็ไปโดยไม่ยั้งคิด แต่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องไหว และคงไหวขึ้นไปเรื่อยๆ มัวมาชักช้าๆรอหนุ่มก็คงสายไปแล้ว มีโอกาสก็รีบโดดใส่ ความกล้าที่จะคิดทำให้ไม่เสียเวลาที่มีค่าไปในชีวิต แต่คิดก็ต้องคิดให้ไว แล้วเลือกทางที่มั่นใจ มันง่าย กว่าต้องมานั่งเลือกเส้นทางชีวิต
เอ...จะเอาไงดีเรา ขึ้นรถหรือเดินไป กินข้าวหรือกินน้ำก่อน ฉี่หรือว่าถ่ายเลยดี ทุกอย่างมันล้วนมีผลกระทบ
และก็ยังเชื่อมไปสู่หลายเรื่อง เช่นดั่งประโยคข้างต้น บางที เราอาจจะคลั่งฉิบหายและกร่นแช่งแทบตายกับโชคชะตาที่มันเกิดขึ้น แต่พอมันมาถึง เราก็ต้องปล่อยมันไป ถูกต้อง เพราะมันคือโชคชะตานั้นไงเล่า
ยังอีกหนึ่งคราที่เบนจมินบ่นพร่ามเกี่ยวกับทฤษฎี ว่าด้วยเรื่อง “ถ้าหาก” ก่อนที่คนรักสาวจะถูกรถชน ถ้าหากไอ้นู่นเร็วหน่อย ถ้าหากไอ้นี้ไม่ทำนั่น คนรักคงจะไม่ถูกชน แต่แล้วก็สรุปเอาซะดื้อๆว่าตอนนี้เธอถูกชน ก็มันเป็นโชคชะตา ไอ้ “ถ้าหาก”มันไม่มีจริงหรอก ถ้าอยากจะใช้ชีวิตให้คุ้มหล่ะก็ มีแต่จงทำ และจงยอมรับกับสิ่งที่จะเกิด
จงเชื่อมั่นในตัวเองว่าคิดมาแล้ว คิดดีแล้ว ฝึกตัวเองให้คิดเข้าไว้ และตัดสินใจได้เด็ดขาด อย่าไปเอาคำของคนอื่นมาใส่ใจ “ทำไมหล่ะ?”ถ้ามันเป็นอย่างนี้หล่ะ?” คำเหล่านี้รับฟังได้แต่ก็อย่าเก็บไว้ อย่าเอาโชคชะตาที่คนอื่นมอบให้มากำหนดชีวิตของเรา จงสร้างชะตาของตัวเองขึ้นมาและน้อมรับ.... อ่านจบแล้วจงอย่าถามว่าเล่มต่อไปจะมีอะไร ตัดสินใจเอาเองว่าจะอ่านอีกดีมั้ยดีกว่า



เอามาจากคอลัมน์ที่เขียนลงไปในMagazine -1+1 ซึ่งอาจารย์ไม่ได้ใส่ใจกับมันด้วยซ้ำ คงจะดูแต่ดีไซน์สินะทำไมใช้หัวใจไม่ได้หรอ.... 5555+

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

ปิติ

นี่คือสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้จริงๆ
และเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้ประสบณ์
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ หากคิดว่าเวอร์เกินไปก็เชิญได้ แต่เมื่อพบเองแล้วจะรู้...ซักวัน

วันนี้เราเดินไปที่ป้ายรถเมล์แถวบ้าน
ก็เจอคนยืนรอรถเมล์อยู่2-3คนตรงเก้าอี้ก็มีคุณตาคนนึงนั่งอยู่
แกแก่มาก หลังโกงๆ ตัวเล็กๆมือขวาถือถุงข้าวกับถุงห่อหมกไว้ มือซ้ายจับช้อนๆแบบเก้ๆกังๆ
นั่งก้มหน้าตักข้าวเข้าปากเห็นแล้วรู้สึกลำบากแทน
ตาแกตัวเล็ก นั่งเหมือนเด็กกินข้าวเราเห็นแล้วเราก็อดยิ้มไม่ได้จริงๆว่าแกตั้งใจกินข้าวอะไรขนาดนั้น
พอเราหย่อนตัวลงไปนั่งใกล้ๆแก
แกก็หันมาทางเราแล้ว"ยิ้ม" ข้าวติดเต็มข้างปาก ฟันแกก็หลอจนแทบไม่มี
ตาแกยิ้ม แบบที่เรา ไม่เคยเห็นในโลก ยิ้มแบบที่จริงใจที่สุดที่เราเคยเห็นมาในชีวิต
เหมือนเราเห็นโลกหยุดตรงนั้นจริงๆ ความรู้สึกแบบที่มันอื้ออึงไปหมด
แล้วรู้สึกเหมือนน้ำตามันปริ่มๆออกมา เรายิ้มค้าง
แล้วแกก็ถาม เสียงแหบๆเบาๆว่า "ทานข้าวยัง"แล้วก็ยังยิ้มอยู่ด้วยข้าวก็ยังติดปาก
เราก็ครับๆทานแล้ว ตอบแกไป แกก็ยื่นมือที่ถือถุงข้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วพยักหน้าจิ๊ดๆ
เราก็ยิ้มตอบแกไป หน้าเรายังค้างอยู่ที่เดิม ตาเรายังมองอยู่ที่แกไม่ละ
แกก้มหน้าตักข้าวของแกต่อไป แล้วแกวางถุงข้าวลง หยิบของในถุงออกมาอีก
ดูเหมือนจะเป็นขนมกับผลไม้ มัดไว้ในถุงกับข้าวเหมือนกัน
จับๆ เหมือนจะหาอะไรมาอวดให้ดูหรืออยากจะแบ่งเราก็ไม่รู้

โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เราอยากขอบพระคุณคนที่ดูแลคุณตา
คนที่ทำกับข้าวใส่ถุงมาให้ คนที่มัดขนมใส่ถุง คนที่ทำสิ่งเหล่านี้ให้คุณตา...
หรือแม้กระทั่งถ้าคุณตาเป็นคนจัดการเองทั้งหมด ก็ขอขอบพระคุณเช่นกัน
ภาพที่เกิดขึ้นดูเหมือนภาพที่เกิดขึ้นในปกติ
แต่สำหรับเรา มันเป็นภาพที่หาไม่ได้ในโลก ลอยยิ้มแล้วก็ความห่วงใย
คุณตาเป็นเหมือนเทวดามามอบความสุขให้เรา เหมือนจริงๆหรืออาจใช่
พ่อบอกว่า ความปิติเหล่านี้ คือบุญ คุณตาได้รับบุญนั้นไปแล้วเต็มๆแน่นอนจากเรา
เราขึ้นรถเมล์ยังเห็นภาพลอยยิ้มติดตา มาตลอดและยิ้มตลอด น้ำตาคลอ
จนกระทั่งพอขึ้นรถกรรัช แล้วเล่าให้กรรัชฟัง น้ำตา มันก็ไหลออกมาแบบสุดๆ

ภาพนี้มันจะไม่จางหายไปเลยจากใจ แม้กระทั่งความจำมันจะทำให้ภาพมันเลือนๆไปแล้ว
แต่เราจะนึกถึงตลอด ว่าคุณตา มีรอยยิ้มที่มีค่าต่อชีวิตเรามาก จริงๆ

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ตรรก?

ความไม่เข้าใจ...
คำถามที่ไม่ได้ออกเชิงล้อเล่น
แต่เป็นเชิงสงสัยและเข้าใจผิด

หากแต่ได้คำถามย้อนเข้าตัวเองว่าตรรกคืออะไร
เอาสมองส่วนไหนไปกลั่นกรองข้อมุลเหล่านั้นออกมาหน้าโง่ๆ
กำลังใจและความสุขลดลงกว่า60%
ถ้าเป็นน้ำคงตายไปแล้ว

ไม่ได้ฉลาดอย่างใครๆ
ล้อเล่นกับคนอื่นไปวันๆ
เพียงแค่นี้ยังรู้สึกว่าตัวเองโง่ไม่พอ

โลกนี้ถ้าไม่แสดงความฉลาดของตนก็อยู่ไม่ได้
แค่นี้ก็พยายามหลอกลวงตัวเองและโลกภายนอกพอแล้ว
ยังจะต้องพยายามให้มากขึ้นอีกหรอ

เมื่อไหร่จะหยุด
เมื่อไหร่จะพอ
ขอแค่ได้อยู่เฉยๆ
ไม่ทำร้ายใคร หรือ อะไร

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Another's Evolution Theory

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวเราเป็นทาสของเทคโนโลยี
ถ้าขาดไปชีวิตคงแน่นิ่งกว่าที่เป็นอยู่
ลองคิดดูที่เราเป็นแบบนี้มันทำให้เกิดอะไรขึ้นบ้าง
ฟังipod=หูหนวก
จ้องจอคอมพิวเตอร์มาก=สายตาสั้น,ตาบอด ส่วนตัวเราพ่วงโรคนอนไม่หลับเข้าไปด้วย
การนอนน้อยก็ทำให้ภูมิต้านทานในร่างกายลดลงเทคโนโลยี
ทำให้มนุษย์สุขภาพย่ำแย่ลงมาก
โดยเฉพาะวัยรุ่นยุคที่มีอินเตอร์เนท
เมื่อก่อนแค่คนไหนนอนหลังเที่ยงคืนคนก็ร้องอู้วหูวให้ดูโก้แล้ว
เดี๋ยวนี้ ใครๆก็นอนหลังเที่ยงคืนกันแล้วทั้งนั้น
เราไม่รู้หรอกว่าเรากำลังวิวัฒนาการไปทีละนิดๆ
มันดูไม่ออกกว่าจะรู้ตัวอีกทีคงกลายร่างเป็นอะไรซักอย่างที่ใช้เวลานอนแค่3-4ชมก็พอแล้ว
แลกมากับ..อาจจะเป็น ตัวเตี้ยแคระ สมองเล็ก และก็ กินยุงเป็นอาหาร....
เทคโนโลยีคือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อทำลายตัวเอง
คิดว่ามันเป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกนัก
แต่มันกำลังกรัดกร่อนชีวิตลงไปเรื่อยๆ
โลกร้อนก็เพราะเทคโนโลยี
มนุษย์ทำลายธรรมชาติด้วยเทคโนโลยี
ธรรมชาติก็หัวเราะสะใจที่แก้แค้นได้โดยมอบสภาวะต่างๆที่ทำให้มนุษย์สูญเสีย
อีกไม่นานหรอกที่โลกจะเปลี่ยนเป็นสีอื่นที่ไม่เหมือนในทุกวันนี้
คนก็เช่นกัน......